สิ่งที่น่าพูดถึงแต่คนไม่ค่อยพูดถึงเมื่อเป็นฟรีแลนซ์
March 4, 2022

วันก่อนมีน้องฟรีแลนซ์ในสายงานสถาปนิกและออกแบบโทรมาปรึกษาเรื่องชั่วโมงทำงานว่าเหมือนไม่ได้หยุดพักเลยติดกันหลายเดือน เราซึ่งเป็นฟรีแลนซ์ในสายภาษาค้นพบว่าแม้สายงานจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่มีหลายข้อหลายประเด็นมากที่แชร์ร่วมกัน และมีข้อมูลเชิงลึก (insight) บางอย่างที่เราในฐานะฟรีแลนซ์เกือบ 10 ปีแบ่งปันให้น้องที่เป็นฟรีแลนซ์ราวๆ 1 ปีเศษฟังได้ จึงตลกผลึกเป็นบล็อกนี้
ระหว่างหาข้อมูลเพื่อเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ฟรีแลนซ์ของตัวเอง ก็บังเอิญไปเจอเว็บไซต์สัญชาติอังกฤษน่าสนใจชื่อ leapers.co ซึ่งเป็นแหล่งรวมคอมมูนิตี้มนุษย์ฟรีแลนซ์พอดี เขามีการสำรวจประจำปีเกี่ยวกับฟรีแลนซ์และปัญหาสุขภาพจิตที่เรียกว่า “Mental Health and Self-Employment 2021 Annual Survey Report” ซึ่งจะรีวิวบางส่วนของผลสำรวจแทรกระหว่างงานเขียนนี้และสรุปส่วนอื่นๆ ที่น่าสนใจพร้อมแปะลิงค์ไว้ตอนท้าย แต่สารภาพว่าอ่านด้วยความตื่นตา นอกจากกราฟฟิกจะน่ารัก เป็นมิตรต่อสายตา ประเด็นหลายๆ อย่างช่างเป็นประสบการณ์ร่วมที่เราเองก็ผ่านมาไม่ต่างกัน
ด้านล่างนี้คือ insight ที่เราเก็บได้ระหว่างทศวรรษแห่งการเป็นฟรีแลนซ์
ฟรีแลนซ์คืออาชีพของคนที่ไม่ชอบระบบงานบริษัท แต่ยังไม่อยากยกระดับเป็นเจ้าของกิจการ: ฟรีแลนซ์ไม่ติดกรอบบางอย่างของงานบริษัท เช่น ความกดดันจากเจ้านาย เวลาการเข้างานหรือการเข้าประชุมที่กำหนดไว้แล้ว แต่ฟรีแลนซ์ก็ไม่ได้ประโยชน์บางอย่างของบริษัทเช่นกัน เช่น การมีเงินเข้าเท่ากันทุกเดือน (ยกเว้นงานฟรีแลนซ์กึ่งประจำ) การประกันสุขภาพ การลาหยุดแล้วยังได้รับเงินเดือน แต่คนอยู่บริษัทก็ไม่ได้รับประโยชน์ของฟรีแลนซ์เช่นกัน เช่น การเลือกปฏิเสธงานที่มันทรมานจิตใจมากเกินไปจริงๆ การขยับเขยื้อนเวลางานที่มีอิสระกว่า การไม่ต้องรับโทรศัพท์ที่ไม่อยากรับ (ถ้าไม่แคร์ว่าลูกค้าจะคิดยังไง) การเป็นฟรีแลนซ์ คือ “การจ้างงานตัวเอง” ซึ่งทำให้คล้ายกับการเป็นเจ้าของกิจการบริษัทมาก ลูกจ้างมีแค่คนเดียวก็คือตัวเรา เราเป็นทั้งฝ่ายบัญชี บริหาร มาร์เก็ตติ้ง และผู้ผลิตงาน แต่ไม่มีลูกน้อง ทำให้ไม่มีภาระต้องจ่ายเงินประจำให้ใคร แต่ฟรีแลนซ์ที่ยุ่งอาจมีการจ่ายงานให้กับฟรีแลนซ์ในสายงานเดียวกัน และจ้างพาร์ทไทม์มาซัพพอร์ตเป็นครั้งคราวได้
ฟรีแลนซ์อาจทำงานน้อยกว่า เท่ากับ หรือมากกว่าชั่วโมงงานของพนักงานออฟฟิศก็ได้: หลายคนคิดว่าฟรีแลนซ์คือ ทำงานกี่ชั่วโมงก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ ที่ไหนก็ได้ ซึ่งในความเป็นจริงอาจจะไม่อิสระขนาดนั้น พนักงานออฟฟิศอาจเข้างาน 8 โมงเช้า เลิก 5 โมงเย็น แต่ฟรีแลนซ์อาจเริ่มงาน 10 โมง เลิกงานบ่าย 4 ในวันหนึ่ง และอาจเริ่มงาน 8 โมง เลิกงาน 4 ทุ่มในอีกวันหนึ่ง ตามแต่กำหนดงานและความรับผิดชอบงาน อย่างใน Annual Survey Report 2021 ของ Leapers ก็พูดชัดเจน ฟรีแลนซ์ส่วนใหญ่ (50.3%) สัญญากับตัวเองว่าจะทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์และต่อหนึ่งวันทำงานเฉลี่ยอยู่ที่ 6-9 ชั่วโมง โดยส่วนตัว การทำงาน 4-6 ชั่วโมงต่อวันถือว่ากำลังดี ช่วงไหนที่ได้ทำงานระยะเวลาเท่านี้ติดกันยาวๆ จะค่อนข้างมีความสุข รู้สึกชีวิตบาลานซ์ ยุ่งอย่างเพียงพอ และพักผ่อนอย่างเพียงพอ
ความสุขของฟรีแลนซ์ที่บริษัทยังอาจให้ได้ไม่เท่าคือความรู้สึกเป็นเจ้าของงาน: “ดีก็กู แย่ก็กู” น่าจะเป็นประโยคที่เหมาะกับงานฟรีแลนซ์มาก เพราะฟรีแลนซ์มี ownership ในงานสูงมาก ชีวิตที่เป็นฟรีแลนซ์ได้รับความชื่นชมเยอะกว่าชีวิตพนักงานบริษัท และเมื่องานสำเร็จสมบูรณ์แทบจะสามารถเคลมได้ว่ามันเป็นฝีมือของเรา 100% ซึ่งถ้าทำได้ดีจะปลื้มปริ่มจิตใจกว่างานที่รู้สึกไม่ได้เป็นเจ้าของผลงาน เนื่องจากไม่ใช่งานทุกสายจะทำในรูปแบบฟรีแลนซ์ได้ ฟรีแลนซ์ส่วนใหญ่จึงเป็นงานที่ต้องการความเชี่ยวชาญหรือ expertise ในด้านใดด้านหนึ่ง หรือพวกสายงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งงานเหล่านี้หลายครั้งเป็นงานที่เรา take credit ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย อุตสาหกรรม 4 ลำดับแรกของ Annual Survey Report 2021 ของ Leapers สะท้อนประเด็นนี้ชัดเจนมาก Creative Services and Design (19.42%), Advertising, Marketing and PR (18.88%), Management, Business and Consulting (15.29%) และ Journalism and writing (8.99%)
อ่อ ความสุขอีกอย่างของการเป็นฟรีแลนซ์คือ แทบไม่เคยเกลียดวันจันทร์เลย! (แต่อาจเกลียดคืนวันศุกร์ที่งานไม่เสร็จแทน!)
การได้เงินแต่ละครั้งจะทำให้โดปามีนคุณพุ่ง! เชื่อเถอะว่ามันมีความต่างระหว่างการได้เงินเป็นเงินเดือน กับ การต้องทำงานแลกเงินจากการเป็นฟรีแลนซ์ส่งผลต่อความอยากทำงานของเรา มันเปลี่ยนระดับ mindset เงินเมื่อจบโปรเจกต์หรือทำงานหนึ่งชิ้นสำเร็จทำให้เราอยากทำงานมากขึ้น ทำงานให้ดีขึ้น คนที่มีแนวโน้มจะชอบระบบ meritocracy (ระบบซึ่งเชื่อกันว่าวัดจากความสามารถ) อาจชอบใจชีวิตแบบนี้มาก
ชีวิตฟรีแลนซ์อาจทำให้คุณเหงามากๆ และขาดเซนส์ของการได้ทำอะไรสำเร็จร่วมกับผู้อื่น: คุณไม่มีทีม ไม่ได้มีคนที่ทำอะไรสำเร็จบางอย่างร่วมกันหรือมุ่งไปที่เป้าหมายเดียวกัน อาจมีคนที่ลาออกจากบริษัทมาทำฟรีแลนซ์เพราะไม่ชอบการเมืองในออฟฟิศ หรือ เบื่อคน ในช่วงแรกๆ ฟรีแลนซ์อาจตอบสนองความต้องการนี้ของชีวิต แต่หากใช้ชีวิตฟรีแลนซ์ไปสักพักหนึ่ง สิ่งนี้อาจทำให้คุณรู้สึกว่าคุณมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ไม่เพียงพอ ได้เรียนรู้สไตล์การทำงานของคนอื่นน้อย ความเข้าใจมนุษย์ผ่านการทำงานก็อาจจะถดถอยลงไปด้วย
หากงานน้อยเกินไป คุณอาจเจอภาวะวิตกกังวล หากงานเยอะเกินไป คุณอาจ burnout: ช่วงชีวิตฟรีแลนซ์มีทั้งช่วงที่งานน้อยเกินไป งานกำลังดี และงานเยอะจนร่างจะแหลก เราต้องเรียนรู้วิธีรับมือกับทั้งสามภาวะนี้ ช่วงที่งานน้อยเกินไป อาจจะแอคทีฟหาโอกาสให้ได้งานมากขึ้นหรือพักผ่อนหากรู้ตัวว่าตัวเองเป็นฟรีแลนซ์ที่มีฐานลูกค้าพอสมควรแล้วเดี๋ยวงานก็มา ช่วงที่งานกำลังดีไม่น่าจะมีอะไรต้องจัดการมาก ส่วนช่วงที่งานเยอะจนร่างแหลก ควรต้องระวังตัวเองไม่ให้ burnout ซึ่งพูดง่ายแต่ทำยาก หนึ่งในวิธีการที่คิดว่าอาจพอช่วยได้ คือ การรู้ว่าระยะงานเยอะสิ้นสุดตรงไหน แล้วตัดใจไม่รับงานต่อหรือกระจายงานออก เพื่อให้หลังช่วงงานเยอะเป็นช่วงที่งานน้อยลงเพื่อพักผ่อนสมองหรือร่างกาย เพราะหากไม่ทำแบบนี้อาจนำไปสู่ภาวะหมดทั้งแรงกายและแรงใจได้
ฟรีแลนซ์มีอิสระที่จะรับงาน แต่ก็ต้องแบกความกังวลใจของการปฏิเสธงาน: หากปฏิเสธแล้ว ลูกค้ารายนั้นไม่กลับมาอีก ก็จะต้องเรียนรู้ที่จะทำใจยอมรับ หรือหากรับมา แต่ทำไม่ไหว แล้วเลือกที่จะส่งงานให้ผู้อื่นหรือกระจายงานต่อให้คนที่ทำอาชีพในลักษณะเดียวกัน ก็ต้องอาศัยทักษะจัดการและความไว้เนื้อเชื่อใจ
ฟรีแลนซ์มีหลายสเตจ แต่ละสเตจต้องการ self-promotion ที่ต่างกัน: ฟรีแลนซ์มีทั้งช่วงที่เพิ่งเริ่มต้น ช่วงที่มีตัวตนเป็นที่รู้จักของคนที่จะมาจ้างและถูกแนะนำต่อ รวมทั้งมีบางคนที่เป็น celebrity freelance คือมีชื่อเสียงระดับที่คนวิ่งเข้าหา แต่ละช่วงอาจต้องใช้การโปรโมทตัวเองที่ไม่เท่ากัน ในช่วงต้นนั้นจำเป็นมากๆ ที่จะต้องประกาศให้โลกรู้ว่า “ฉันทำสิ่งนี้ได้” มิเช่นนั้น คนจะไม่คิดถึงเวลาต้องการหาคนทำงาน ช่วงที่มีตัวตนแล้วอาจจะเป็นช่วงที่พอเลือกได้ว่าอยากเป็นที่รู้จักมากแค่ไหน จะโปรโมทตัวเองต่อเนื่องก็ได้ จะโปรโมทบางครั้งก็ได้ จะไม่โปรโมทก็ย่อมได้ เพราะมีฐานลูกค้าประมาณหนึ่งแล้ว มีฟรีแลนซ์หลายคนที่บอกว่าการทำ self-promotion ทำให้เขาเครียด (Annual Survey 2021 ของ Leapers) ซึ่งจริงๆ ไม่ประหลาดใจเพราะสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะทำได้โดยไม่กระอักกระอ่วน แม้จะผ่านมาเกือบทศวรรษแล้วบางทีเราก็ยังกระอักกระอ่วนในการทำสิ่งนี้ แต่ก็ทำบ้างเพราะสนุก บางครั้งก็ทำเพราะภูมิใจในงาน บางครั้งก็ทำเพื่อจุดประสงค์ด้านการหาลูกค้าจริงๆ ก็มี
ฟรีแลนซ์เปิดโอกาสให้คุณเรียนรู้ในแนวกว้างมากกว่าแนวตั้ง: ยากมากที่เป็นฟรีแลนซ์ แล้วจะได้เรียนรู้การบริหารในลักษณะแนวตั้ง คือ การมีเพื่อนร่วมงานที่ตำแหน่งน้อยกว่าเราต่อลงไปเป็นทอดๆ แต่มักได้เรียนรู้ความร่วมมือในแนวราบ เช่น การทำงานในลักษณะ partner หรือ การเรียนรู้ประเด็นเนื้อหาในลักษณะแนวราบ เพราะเนื้อหาที่ศึกษานั้นขยายออกเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ เพราะเปลี่ยนลูกค้าไปเรื่อยๆ ผู้ที่ชอบการเรียนรู้ในลักษณะนี้อาจเหมาะกับอาชีพฟรีแลนซ์มากๆ
รูปประกอบคือเมตริกซ์ความสุขที่เกิดจากเงินจ้างและความพึงพอใจจากการทำงานที่ตกผลึกได้จากชีวิตฟรีแลนซ์ทั้งหมดที่ผ่านมา
ประเด็นอื่นๆ ที่ปรากฎใน Annual Survey Report 2021 ของ Leapers ที่น่าสนใจ:
- ชื่องานที่คนชอบให้เรียกสูงสุดสองลำดับแรกคือ freelancer และ self-employed ชื่อที่ชอบน้อยที่สุดคือ gig worker
- คนตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ (40.3%) อยู่ที่อายุ 36 – 45 ปี
- คนส่วนใหญ่ (29.%) ทำงานฟรีแลนซ์มา 1-3 ปี น่าสนใจว่ากลุ่มที่เหลือรอดทำงานฟรีแลนซ์ยาวนานเกิน 15 ปีขึ้นไป มีถึง 11.6%
- สาเหตุ 5 ข้อแรกที่ทำให้คนออกมาทำงานฟรีแลนซ์ได้แก่ 1) อยากกำหนดได้ว่าจะทำงานอะไร (46.70%) 2) อยากควบคุมตารางชีวิตได้มากขึ้น (36.00%) 3) อยากให้สุขภาพจิตดีขึ้น (25%) 4) อยากออกจากชีวิตบริษัท (20.40%) และ 5) อยากกำหนดได้ว่าจะทำงานจากไหน (20.40%)
- ในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมาของการทำงานฟรีแลนซ์ คนจำนวน 25.4% พักร้อนเพียง 8-14 วัน ซึ่งฟรีแลนซ์หน้าใหม่หยุดน้อยกว่าฟรีแลนซ์หน้าเก่ามากๆ อีกตัวเลขที่น่าสนใจ คือคนตอบแบบสอบถามถึง 17.2% บอกว่าหยุดเกินกว่า 30 วันในหนึ่งปีที่ผ่านมา
- คนส่วนใหญ่ประมาณ 70% ไม่ได้คิดหรือแทบไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องผลต่อสุขภาพจิตที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนมาทำงานฟรีแลนซ์ ซึ่งผลต่อสุขภาพจิตที่เกิดก็เช่น ความเหงา ความโดดเดี่ยว ความไม่มีทีม ความเครียดจากที่สโคปงานถูกขยับเรื่อยๆ ฯลฯ
- คนประมาณ 67.5% รู้สึกว่าไม่มีการซัพพอร์ตที่เพียงพอเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพจิตในการทำงาน
- สิ่งที่ทำให้เกิดความเครียดมีหลายปัจจัย ได้แก่ เงิน (การได้เงินไม่สม่ำเสมอ, การตั้งราคา, การประเมินมูลค่าตัวเอง) การจัดการ (การหาลูกค้าใหม่, การโปรโมทตัวเอง, การจัดการภาษี) กำลังกายและพลังใจ (งานเยอะเกินไป, เดดไลน์กระชั้นเกินไปต้องทำงานหนัก, burnout) การมีสังคม (รู้สึกโดดเดี่ยว, ไม่มีคนคุยเรื่องงานด้วย, ไม่มีคนให้ฟี้ดแบ็ค) อารมณ์ความรู้สึก (ไม่ productive, ไม่มีความมั่นใจ, รู้สึกไม่แน่นอนในระยะยาว) และ ความสัมพันธ์กับให้งาน (ทำงานที่ไม่เอ็นจอย, ต้องรับมือกับความขัดแย้ง, สโคปงานถูกปรับ)
- 96.5% บอกว่าเลือกจะทำงานกับลูกค้าที่สนับสนุนการทำงานมากกว่าลูกค้าที่ไม่สนับสนุน
อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่ Mental Health and Self-Employment: 2021 Annual Survey Report https://www.leapers.co/research/2021/report/